ประวัติ ระบบ IOS บน Apple


iOS (iPhoneOS) คืออะไร? 
iOS หรือเดิมชื่อ iPhone OS เป็นระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์พกพาที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท Apple Inc. (Apple Computer Inc.) โดยมีพื้นฐานในการพัฒนาจาก Mac OS X และ Darwin OS แบบเปิดพัฒนาโดย Apple Inc. ภายใต้แนวความคิด "Direct Manipulation"ด้วยการใช้ "มัลติทัช" องค์ประกอบของการควบคุมก็คือการใช้นิ้วเลื่อน, สวิทช์ และปุ่ม เพื่อเป็นการควบคุมอุปกรณ์รวมถึงท่าทางอย่างอื่น เช่น การนำนิ้วมือ (มากกว่าสองนิ้ว) บีบเข้าหาศูนย์กลาง (swipe), แตะเบาๆ (tap), การนำนิ้วสองนิ้วบีบเขาหาศูนย์กลาง (pinch), การนำนิ้วสองนิ้วกางออกจากศูนย์กลาง (reverse pinch) ซึ่งทั้งหมดนี้มีความหมายที่เจาะจงในบริบทต่างๆ ของไอโอเอสและถือเป็นการใช้งานแบบส่วนต่อประสานกับผู้ใช้แบบมัลติทัช ภายในอุปกรณ์ที่ติดตั้งไอโอเอสจะมีเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวเพื่อใช้กับบางแอปพลิเคชันเพื่อตอบสนองการสั่นของอุปกรณ์ หรือการหมุนอุปกรณ์ที่คำนวณในรูปแบบสามมิติ ได้ถูกนำไปใช้งานผ่าน Device พกพาของ Apple เองได้แก่ iPhone, iPad, iPod และในอนาคตอาจได้เห็นบนอุปกรณ์สวมใส่เช่น Smartwatch ด้วยเช่นกัน
iOS X หรือ iPhone OS (First Generation)
iOS รุ่นแรกเปิดตัวพร้อมกับ iPhone ตัวแรกในงาน Macworld Expo เมื่อเดือนมกราคมปี 2007 ครับ ซึ่งเป็นการเปิดตัวที่ฮือฮามากเลยทีเดียว เพราะสตีฟ จ๊อบส์บอกว่าจะเปิดตัวของ 3 สิ่งได้แก่ iPod จอ widescreen ที่ใช้ระบบสัมผัส, โทรศัพท์มือถือที่ปฏิวัติวงการ และอุปกรณ์เชื่อมต่อ Internet ที่ล้ำหน้ามากๆ แน่นอนว่าในงานนั้นสตีฟจ๊อบไม่ได้เปิดตัวอุปกรณ์ 3 อย่างครับ แต่มันคือ iPhone ที่รวมความสามารถทุกอย่างเข้ามาไว้ในเครื่องเดียวนั่นเอง
มีหลายสิ่งที่ Apple ปฏิวัติวงการมือถือเมื่อเปิดตัว iPhone รุ่นแรกครับ อย่างแรกได้แก่หน้าจอสัมผัสแบบ Capacitive ที่รองรับ Multi-touch ที่จะใช้แทนปุ่มกดทุกอย่าง เมื่อไม่ต้องการพิมพ์คีย์บอร์ดก็จะหายไป แล้วใช้นิ้วจิ้มได้ ไม่ต้องใช้ Stylus อีกต่อไป รวมถึงสามารถใช้หลายนิ้วได้ด้วย เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ 2 นิ้ว ขยาย-หดรูปจนถึงปัจจุบันนี้
อย่างต่อมาคือระบบปฏิบัติการของ iPhone (หรือที่เรียกว่า iOS ในปัจจุบัน) มีพื้นฐานเดียวกันกับ Mac OS X ที่มีประสิทธิภาพสูงอยู่แล้ว โดยสตีฟจ๊อบบอกว่าระบบปฏิการนี้ล้ำสมัยกว่ามือถือในขณะนั้นกว่า 5 ปีเลยทีเดียว

iPhone Os 2.0

 จริงๆ แล้วตั้งแต่เปิดตัว ระบบของ iPhone ก็ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการครับ จนมาถึงในเวอร์ชั่นที่ 2 จึงได้มีชื่อเรียกว่า iPhone OS ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้ได้ปฏิวัติการลงแอพบนมือถือครับ  โดยเปิดให้ใช้ทั่วไปเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2008 ในเวอร์ชั่นนี้เปิดให้นักพัฒนาสามารถเขียนแอพบน iPhone ได้แล้ว แต่แทนที่จะให้ต่างคนต่างไปโหลดในเว็บของผู้ผลิตแอพเจ้าต่างๆ แอพเหล่านี้ต้องขายผ่าน App Store ของ Apple เท่านั้นครับ เพื่อที่จะแน่ใจได้ว่าแอพเหล่านี้ได้ผ่านการตรวจสอบจาก Apple แล้วว่าไม่ทำอันตรายเครื่อง หรือไม่แอบเก็บข้อมูลเราไป และที่สำคัญเนื่องจาก iPhone เป็นมือถือที่มีประสิทธิภาพสูงอยู่แล้ว และ iPhone OS สามารถดึงประสิทธิภาพการประมวลผลออกมาได้เต็มที่ บวกกับ iPhone ยังมี Accelerometer ที่จับการเคลื่อนไหวของเครื่องได้ ทำให้เกมบน iPhone ในยุดนั้นออกมามีภาพที่สวยงามมากๆ และยังมีวิธีการเล่นที่หลากหลาย เกมดังๆ ในยุคนั้นมีหลายเกมเช่น Asphalt 4 หรือ Super Monkey Ball เป็นต้น
นอกจาก App Store แล้วยังมีการรองรับการใช้งานด้านองค์กรและเพิ่มความสามารถต่างๆ เข้ามาเพื่อให้ iPhone เป็นโทรศัพท์ที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นครับ ในเวอร์ชั่นนี้ iPhone สามารถอัพเกรดได้ฟรี แต่สำหรับ iPod touch ต้องจ่ายค่าอัพเกรด 9.99 ดอลล่าร์ครับ

iPhone OS 3.0

ในเวอร์ชั่นนี้ก็ยังเรียกว่า iPhone OS อยู่ครับ เปิดให้ใช้ทั่วไปเดือนมิถุนายนปี 2009 มีการเพิ่มความสามารถต่างๆ ที่ยังขาดหายไปเช่นสามารถ copy/paste ข้อความได้แล้ว และเมื่อเขย่าก็จะเป็นการ undo ข้อความ, สามารถส่ง MMS ได้แล้ว จากเดิมที่สามารถส่ง SMS ได้เพียงอย่างเดียว, เพิ่มความสามารถในการใช้งานแอพต่างๆ ในแนวนอน, มีการเพิ่มการรองรับหูฟังบลูทูธแบบสเตอริโอ, รองรับ Push Notifications ไว้สำหรับแจ้งเตือนต่างๆ เช่นเมื่อมีคนส่งข้อความผ่าน MSN มาหาครับ, เพิ่มหน้า Spotlight Search สำหรับค้นหาสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในเครื่องของเรา, สามารถเล่นเกมแข่งกับเพื่อนผ่านทางบลูทูธได้, มีการรองรับ In App Purchase ทำให้สามารถซื้อไอเท็มหรือซื้อของย่อยๆ ในแต่ละแอพได้,  เพิ่มแอพ Voice Memos สำหรับอัดเสียงเข้ามา, มีการเพิ่มคีย์บอร์ดภาษาไทยเข้ามา ทำให้สามารถพิมไทยได้ในเวอร์ชั่นนี้ครับ และเนื่องจาก iPhone OS เวอร์ชั่นนี้มาพร้อมกันกับ iPhone 3GS จึงทำให้รับรองการถ่ายวีดีโอไปด้วยครับ ซึ่งการอัพเกรดก็ยังฟรีสำหรับ iPhone และคิดเงินสำหรับ iPod touch 4.95 ดอลล่าร์ครับ
นอกจากเวอร์ชั้นนี้จะรองรับ iPhone และ iPod touch แล้ว ช่วงต้นปี 2010 ก็ได้มีการเปิดตัว iPad อุปกรณ์ที่ปฏิวัติวงการ Tablet ซึ่งเจ้า iPad นี้ก็ได้ใช้ iPhone OS เวอร์ชั่น 3.2 ที่เป็นเวอร์ชั่นพิเศษที่ทำมาสำหรับ iPad โดยเฉพาะครับ และเป็นเวอร์ชั่นแรกด้วยที่สามารถเปลี่ยน Wallpaper ในหน้า Home Screen ได้


iOS 4

หลังจากที่เปิดตัว iPad ไปได้ไม่นาน Apple ก็ได้เปิดตัว iOS 4 ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้ได้มีการเปลี่ยนชื่อเรียกจาก iPhone OS มาเป็น iOS ครับ ซึ่งเวอร์ชั่นนี้ปล่อยให้ iPhone/iPod touch ได้ใช้ในเดือนมิถุนายนปี 2010 ครับ และเป็นครั้งแรกที่ iPod touch ไม่ต้องเสียเงินในการอัพเกรดเวอร์ชั่น หลังจากนั้นเวอร์ชั่นสำหรับ iPad จึงตามมาทีหลังในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2010 ใน iOS 4 นี้ได้ตัดการรองรับ iPhone กับ iPod touch รุ่นแรกออกไปแล้วด้วยครับ ความสามารถที่เพิ่มเข้ามาในเวอร์ชั่นนี้เน้น 7 หัวข้อหลักๆ คือ
  • Multitasking – เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า iOS แต่เดิมมา ไม่สามารถเปิดแอพได้พร้อมกันหลายๆ แอพ เนื่องจากจะทำให้แบตหมดไว และกินทรัพยากรเครื่อง ใน iOS 4 ได้แก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการอนุญาติให้แอพบางประเภทสามารถทำงานอยู่เบื้องหลังได้ครับ เช่นฟังเพลงหรือโทรศัพท์ผ่านอินเทอเน็ตเป็นต้น เมื่อกดออกจากแอพ แอพที่ไม่อนุญาติให้ทำงานเบื้องหลังก็จะแช่แข็งตัวเอง พอกดเข้ามาใช้งาน ก็จะทำงานต่อจากเดิมทันที ซึ่งเสมือนกับว่าทำงานอยู่เบื้องหลังนั่นเอง ซึ่งใน iOS 4 ได้มีการเพิ่ม App Switcher โดยการกดปุ่ม Home 2 ครั้งเข้ามาด้วย
  • Folders – จากเดิมที่แอพที่ลงไว้จะเรียงกันไปเรื่อยๆ เป็นหน้าๆ ใน iOS 4 ได้เพิ่มการจัดแอพเป็นหมวดหมู่ใน Folder ได้แล้วครับ และตั้งชื่อให้อัตโนมัติด้วย
  • Mail – เพิ่มความสามารถในการดู Email รวมได้, เปิดไฟล์แนมที่มากับเมลล์จากแอพที่โหลดมาจากใน Store ได้ และสามารถดูเมลล์รวมตามหัวข้อได้ด้วยครับ
  • iBooks – หลังจากที่ iBooks เปิดตัวพร้อมกับ iPad ไปแล้ว คราวนี้ iBooks ก็ทำเวอร์ชั่นสำหรับ iPhone/iPod touch แล้วครับ
  • Enterprise – เพิ่มความสามารถด้านเกี่ยวกับการใช้งานในองค์กรเข้ามาครับ
  • Game Center – จากเดิมที่ iOS มีเกมเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว Game Center จะเป็นเหมือน Social Gaming Network ที่ให้เราเล่นเกมสนุกยิ่งขึ้นครับ โดย Game Center สามารถเพิ่มเพื่อน เก็บคะแนนของเรา เทียบคะแนนกับเพื่อน หรือเก็บ Achievement ได้ครับ
  • iAd – เป็นบริการโฆษณาสำหรับ iOS ที่ทำโดยทาง Apple ครับ
เนื่องจาก iOS 4 ปล่อยให้ได้ใช้พร้อมกับการเปิดตัวของ iPhone 4 ดังนั้นจึงรองรับ Facetime ที่สามารถคุยกันโดยเห็นหน้าได้ครับ นอกจากนี้ยังได้เพิ่มความสามารถต่างๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเปลี่ยน Wallpaper ได้, กล้องซูมภาพได้, สร้าง Playlist เพลงได้แล้ว หรือรองรับการต่อคีย์บอร์ด Bluetooth จากภายนอกได้แล้ว



iOS 5

การเปิดตัว iOS 5 ถือว่าเป็นครั้งแรกครับที่เปลี่ยนช่วงเวลาการเปิดตัวออกไป จากเดิมที่จะเปิดตัวในช่วงประมาณเดือนมีนาคม และปล่อยให้ได้ใช้จริงในช่วงเดือนมิถุนายน แต่ iOS 5 ได้เปิดตัวในงาน WWDC 2011 เมื่อเดือนมิถุนายนแทนครับ ซึ่งในงานนี้ก็เป็นงานสุดท้ายด้วยที่สตีฟจ๊อบขึ้นพูดบนเวที หลังจากที่เปิดตัวก็ได้ปล่อยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งานได้ในช่วงเดือนตุลาคมทั้ง iPhone และ iPad แทนครับ ในเวอร์ชั่นนี้ได้ตัดการรองรับ iPhone 3G และ iPod touch Gen 2 ออกไปแล้ว ในงาน WWDC ครั้งนี้นอกจากจะเปิดตัว iOS 5 แล้ว ยังได้เปิดตัว iCloud อีกด้วยครับ
รวมถึงการเพิ่มฟังก์ชั่นและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งานเข้ามาอีกมากมาย เช่น
  • Notification Center
  • iMessage
  • Newsstand
  • Twitter Intergrate
  • Reminders
  • WiFi-Sync
  • iCloud
โดย iOS 5 ยังมาพร้อมกับการเปิดตัวของ iPhone 4S สมาร์ทโฟนซึ่งมาพร้อมกับฟังก์ชั่นผู้ช่วยการใช้งานที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในตอนนั้นอย่าง Siri อีกด้วย



iOS 6


iOS เวอร์ชั่นนี้เปิดตัวในงาน WWDC 2012 ครับ และได้เปิดให้ใช้ในช่วงเดือนกันยายน 2012 ครับ เวอร์ชั่นนี้ได้ตัดการรองรับ iPad 1 และ iPod touch รุ่นที่ 3 ออกไป ใน iOS เวอร์ชั่นนี้ได้มีการปรับปรุงส่วนต่างๆ ของ iOS ให้มีความสามารถเพิ่มมากขึ้นครับ ได้แก่
  • Maps – หลังจากที่ Google ทำ android ออกมา Apple จึงต้องลดการพึงพา Google โดยหันมาทำแผนที่เองครับ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ความสวยงาม และสามารถใช้นำทางได้ (ถึงแม้ว่าในตอนแรกๆ แผนที่จะมีปัญหาอยู่บ้างเล็กน้อย)
  • Siri – มีความสามารถในการหาข้อมูลการแข่งขันกีฬา หาร้านอาหาร หาภาพยนต์ หรือสั่งเปิดแอพได้ครับ และยังสามารถใช้บน iPad 3 ได้ด้วย
  • Facebook – เพิ่มการผูกบัญชี Facebook เข้ามาใน iOS เช่นเดียวกันกับ Twitter
  • Passbook – เป็นการเก็บตั๋วและบัตรต่างๆ เข้ามาไว้ใน iPhone ครับ โดยที่เราไม่ต้องพหบัตรเยอะ ไว้ในกระเป๋าตังอีกต่อไปแล้ว
  • Shared Photo Streams – เป็นการแชร์ภาพผ่าน Photo Stream ซึ่งสามารถแขร์ให้เพื่อนๆ ของเราดูรูปได้ครับถึงแม้ว่าเพื่อนเราจะไม่มี iPhone หรือเครื่อง Mac ก็ตาม
  • Panorama Camera – มีการเพิ่มความสามารถในการถ่ายรูปแนวกว้างเข้ามาแล้วครับ
นอกจากนี้ยังมีความสามารถอื่นๆ เข้ามาอีกครับ เช่น Safari สามารถดูเว็บเต็มจอได้และมี iCloud Tab เพิ่มเข้ามา, แอพ Mail สามารถลากลงมาเพื่อ refresh ได้ หรือ Facetime ผ่าน 3G ได้แล้วเป็นต้น

iOS 7

iOS 7 นั้นได้เปลี่ยนดีไซน์ของตัวระบบปฏิบัติการใหม่ทั้งหมด โดยเน้นดีไซน์ในรูปแบบของ Flat Design แทนของเดิม โดย Flat Design กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันด้วยเช่นกัน และในเวอร์ชั่นนี้ได้มีการยกเลิกการรองรับการใช้งานของ iPhone 3GS และ iPod touch Gen 4 ออกไป นอกจากจะมีการเปลี่ยนด้าน Design ทั้งหมดแล้ว ยังมีการเพิ่มความสามารถใหม่ๆ เข้ามาไม่ว่าจะเป็น Control Center, AirDrop, Notifications Center และการแจ้งเตือนแบบใหม่, เพิ่ม iTunes Radio เข้ามา, แอพฯ Photos แบบใหม่ และเพิ่มโหมดกล้องถ่ายรูปให้ใส่ฟิลเตอร์สำหรับแต่งภาพได้ ฯลฯ เป็นต้น

iOS 8

IOS เวอร์ชั่นนี้เปิดตัวภายในงาน WWDC 2014 นั้น ทาง Apple ก็ได้มีการเปิดตัวระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง iOS 8 ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ๆ มากมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง iOS 8 นั้นถือว่าเป็นระบบปฏิบัติการ ที่มีการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพ จากเวอร์ชั่นก่อนหน้ามากพอสมควร และนอกเหนือจากฟีเจอร์ใหม่ๆ สำหรับผู้ใช้ทั่วไปแล้ว iOS 8 ยังถูกออกแบบมาให้นักพัฒนาสร้างแอพพลิเคชั่นได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
  • -แอพพลิเคชั่น Photos ที่ถูกปรับปรุงใหม่
  • -แอพพลิเคชั่น Messages กับฟีเจอร์ใหม่ๆ
  • -ดีไซน์ที่ถูกปรับปรุงใหม่บน iOS 8
  • -Smart Keyboard คีย์บอร์ดที่ฉลาดขึ้น ช่วยให้คุณพิมพ์ได้ไวขึ้น
  • -iCloud Drive บน iOS 8
  • Health บน iOS 8
  • ให้ iPhone ของคุณเชื่อมต่อ Mac ได้อย่างไร้รอยต่อ
  • Family Sharing บน iOS 8
  • Spotlight บน iOS 8


    iOS9

    สำหรับอุปกรณ์ที่รองรับการอัปเดตเป็น iOS 9 ได้แก่
    iPad 2
    iPad 3
    iPad 4
    iPad Air
    iPad Air 2
    iPad mini
    iPad mini 2
    iPad mini 3
    iPhone 4S
    iPhone 5
    iPhone 5C
    iPhone 5S
    iPhone 6
    iPhone 6 Plus
    iPod Touch Gen 5
    iOS 9 ระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ของ APPLE
    Siri ใหม่ ฉลาดขึ้นกว่าเดิม  สำหรับ Siri ผู้ช่วยอัจฉริยะบน iOS ได้รับการปรับปรุงความสามารถใหม่บน iOS 9 ด้วยเช่นกัน ซึ่งนอกจากจะเปลี่ยนอินเทอร์เฟสใหม่แล้ว ยังเร็วขึ้นกว่าเดิม และตอบคำถามได้ถูกต้องมากขึ้นถึง 40% นอกจากนี้ ยังฉลาดมากขึ้นกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่น เสียบหูฟัง ก็จะเปิดแอปฯ เพลงให้อัตโนมัติ Siri และระบบค้นหาในตัว iOS 9 นั้นปรับปรุงให้ฉลาดมากขึ้นนะครับ โดยระบบจะรับรู้สภาพแวดล้อมและเดาว่าผู้ใช้ต้องการอะไร นอกจากนี้ใน iOS 9 หน้าค้นหาทางซ้ายสุดของ Home Screen จะกลับมา เพื่อแสดงข้อมูลที่ระบบแนะนำ เช่นแอปที่น่าใช้ตอนนี้ โดยวิเคราะห์จากพฤติกรรมของเรา ข่าวที่น่าสนใจโดยอิงจากสถานที่ที่เราอยู่ บุคคลที่เกี่ยวข้อง และค้นหาสถานที่น่าสนใจใกล้เคียงได้


    Apple Pay
    Apple Pay เป็นแอปพลิเคชันที่เปิดตัวมาตั้งแต่ iOS 8 แต่บน iOS 9 นั้น Apple Pay ได้ปรับปรุงฟีเจอร์การใช้งานใหม่ และขยายบริการไว้หลายอย่างด้วยกัน โดย Apple Pay ในสหรัฐฯ​ รองรับ Discover ผู้ให้บริการบัตรเครดิตรายใหญ่เพิ่มอีก 1 ราย ทำให้ในตอนนี้ Apple Pay รองรับบริการบัตรเครดิตรายใหญ่ครบทุกค่ายแล้ว

    Apple Maps ค้นหาได้เก่งขึ้น
    Apple Maps ได้รับการปรับปรุงให้เก่งขึ้น สามารถนำทางผู้ใช้ไปยังระบบขนส่งมวลชนต่างๆ ได้ จะขึ้นรถเมล์ ลงรถใต้ดิน Apple Maps ก็นำทาง บอกขบวนรถได้ (เหมือนที่ Google Maps ทำได้อยู่แล้ว) นอกจากนี้ยังมีการแสดงรายการสถานที่ใกล้เคียงที่น่าสนใจด้วย เช่นคาเฟ่ที่น่าสนใจบริเวณใกล้เคียง ทำให้ผู้ใช้ค้นหาสถานที่ที่ต้องการได้ง่ายขึ้น (แผนที่อื่นๆ ก็มีการทำงานในลักษณะนี้อยู่แล้ว)
    iOS 9 ระบบปฏิบัติการเพื่อ iPad ใช้แล้วเหมือนได้ iPad ใหม่!
    iOS 9 นั้นเปลี่ยน iPad ให้น่าใช้ขึ้นมากครับ ด้วยความสามารถเฉพาะที่ไม่มีใน iPhone เริ่มตั้งแต่ Multitasking หรือการเปิดแอปหลายๆ ตัวในหน้าเดียว โดยมีการทำงาน 3 รูปแบบดังนี้
    -Slide Over นำแอปของ iPhone มาวางเป็นจอข้าง เช่นเปิด Safari แล้วลากจอด้านข้างเข้ามาเพื่อเปิดหน้าต่าง Twitter for iPhone ให้ใช้ทวีต พอใช้เสร็จก็ลากจอข้างเก็บไปเพื่อใช้ Safari ต่อ การทำงานในโหมดนี้จะแสดงผลพร้อมกันได้ 2 แอป แต่สั่งงานได้ทีละแอป
    -Split View ความสามารถที่ใช้ได้ใน iPad Air 2 ขึ้นไป คือการนำแอป 2 ตัวมาเปิดพร้อมกัน ทำงานได้พร้อมกันเลย ปรับขนาดหน้าต่างของ 2 แอปได้ด้วย
    -Picture in Picture สำหรับแอปวิดีโอหรือ facetime สามารถคงกรอบวิดีโอให้ลอยอยู่เหนือแอปอื่นๆ ได้ เพื่อทำงานพร้อมกัน
    ความสามารถของ Multitask นี้ นักพัฒนาต้องปรับปรุงแอปให้รองรับระบบใหม่ของแอปเปิ้ลด้วย
    อีกความสามารถที่น่าตื่นเต้นของ iPad คือ QuickType คีย์บอร์ดอัจฉริยะที่ปรับปรุงขึ้นกว่าคีย์บอร์ดของ iPhone โดยจะมีปุ่มควบคุมมากขึ้น และสามารถใช้ 2 นิ้วลากลงในคีย์บอร์ดเพื่อเลื่อนเคอเซอร์หรือป้ายคำได้ทันที นอกจากนี้เมื่อต่อคีย์บอร์ดนอก ก็สามารถใช้ Shortcut แบบของแมคได้ด้วย เช่น Command + Tab เพื่อสลับหน้าต่างก็กดจาก keyboard ได้ทันที

    Multitasking
    ฟีเจอร์ Multitasking บน iPad อย่างเป็นทางการ โดยเริ่มต้นการใช้งาน Multitasking ด้วยการกดปุ่ม Home 2 ครั้ง จะเข้าสู่หน้า Task Switcher ซึ่งมาพร้อมกับอินเทอร์เฟสแบบใหม่ ที่เป็นแอปฯ ทับซ้อนกัน โดย Multitasking ประกอบด้วยโหมดการใช้งานทั้งหมด 3 แบบด้วยกัน ได้แก่
    Slide Over ลากแอปฯ มาเปิดซ้อนกับแอปฯ ที่เปิดอยู่ได้
    Split View เปิด 2 แอปฯ พร้อมกันในหน้าจอเดียวแบบแบ่งครึ่ง สามารถทำงานได้พร้อมกัน และปรับขนาดแอปฯ ได้ตามใจชอบ

    Picture in Picture สามารถย่อแอปฯ วีดีโอให้มีขนาดเล็กลง ทำให้สามารถใช้งานร่วมกันแอปฯ อื่นได้พร้อมกัน

    ที่มา http://www.iclarified.com

    iOS 10

    อุปกรณ์ที่สามารถอัปเดตเป็น iOS 10 ได้

    iPhone
  1. iPhone 7
  2. iPhone 7 Plus
  3. iPhone 6s
  4. iPhone 6s Plus
  5. iPhone 6
  6. iPhone 6 Plus
  7. iPhone SE
  8. iPhone 5s
  9. iPhone 5c
  10. iPhone 5
                    iPad
                    1. iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว
                    2. iPad Pro รุ่น 9.7 นิ้ว
                    3. iPad Air 2
                    4. iPad Air
                    5. iPad 4th Generation
                    6. iPad mini 4
                    7. iPad mini 3
                    8. iPad mini 2
                    iPod
                    • iPod touch 6th Generation

                    iOS 10 มีอะไรใหม่ ?

                    Siri ฉลาดขึ้น!

                    สามารถเรียนรู้คำสั่งเสียงแบบอัตโนมัติ รวมไปถึงทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันต่างๆ บน iPhone ได้แล้ว เช่น การสั่งงานให้ Siri เรียกรถจากบริการ Uber






                    Lockscreen แบบใหม่
                     Nofication แบบใหม่ที่ปรับปรุงมาให้อยู่ในรูปแบบ Widget โดยเราสามารถดูการแจ้งเตือนจากหน้า Lockscreen ได้ทันทีไม่ว่าจะเป็นปฏิทิน ข้อมูลผู้ติดต่อ รวมถึงสามารถปรับแต่ง Widget ได้อย่างเต็มที่ และยังสามารถแสดงที่หน้า Home ได้ด้วยเพียงปัดไปทางซ้ายเท่านั้น


                    แอป Music โฉมใหม่ใช้งานง่าย




















                    ได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้นเช่นกัน โดยถูกปรับโฉมให้มาอยู่ในโทนสีขาวดำ พร้อมดูเนื้อเพลงไปพร้อมกับฟังเพลงได้เลย


                    Messages ใช้งานได้เยอะกว่าเดิม

                    คุณสมบัติที่ถูกเพิ่มขึ้นมีดังต่อไปนี้
                    ค้นหาภาพ GIFs จากหน้าต่างข้อความได้ทันที ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่ต้องดาวน์โหลดคีย์บอร์ดเสริม
                    ส่ง Eomoji แบบเคลื่อนไหวได้แล้ว
                    ส่งข้อความพร้อมอนิเมชัน
                    ส่งสติ๊กเกอร์หากันได้แล้ว
                    Invisible Ink ข้อความลับแบบใหม่ ที่ต้องปัดก่อนจึงจะเห็นข้อความภายใน
                    ส่งข้อความที่เขียนด้วยลายมือ
                    เปลี่ยนข้อความให้เป็น emoji แบบอัตโนมัติ
                    ถ่ายภาพเซลฟี่พร้อมส่งข้อความได้ทันที


                    แอปHome สั่งงานอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้านแบบอัตโนมัติ

                    ควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้า, แอร์, ที่ล็อกประตู และอุปกรณ์อื่น ๆ ได้ด้วยการสั่งเพียงครั้งเดียว และสามารถใช้ Siri ควบคุมได้ อีกทั้งยังสามารถสั่งงานอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้านแบบอัตโนมัติผ่านทาง Apple TV

                    ที่มา www.apple.com

                    ไม่มีความคิดเห็น:

                    แสดงความคิดเห็น

                    วิธีนำ Facebook Fan Page มาเชื่อมต่อกับ blogspot

                    1.หากเราสร้างบล็อก blogspot เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ สร้างลิ้ง FACEBOOK มาเชื่อมกับบล็อก เริ่มต้นให้คุณ Log in ที่ Facebook....